เห็นข่าวผ่านๆ ไม่นึกว่าจะเกิดขึ้นกับตัวเอง
จะเล่าให้ฟังทุกรายละเอียดเท่าที่จำได้นะคะ ยาวมากๆ
วันที่ 9 ก.พ. 2567 มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา แอบอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ค่ายโทรศัพท์สีเขียว แจ้งชื่อนามสกุล แจ้งรหัสพนักงาน แจ้งหมายเลขอ้างอิงครบถ้วน (เราใช้เครือข่ายสีเขียวอยู่แล้ว)
มิจฉาชีพคนนี้บอกว่ามีคนนำชื่อของเราไปเปิดซิมของค่ายสีเขียวที่ห้างในจังหวัดXXX วันที่ 15 ม.ค. 2567 เวลาประมาณ 15.20 น. ซึ่งซิมดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับคดีฟอกเงินร้ายแรง มีผู้เสียหาย 40 กว่าคน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 400 ล้าน
มิจฉาชีพคนนี้สอบถามว่าเราเคยทำข้อมูลส่วนตัวหลุดหายไหม หรือเคยใช้สำเนาบัตรประชาชนไปใช้ทำอะไรบ้างที่สุ่มเสี่ยงให้ข้อมูลรั่วไหล และได้เซ็นกำกับไหมว่าสำเนาบัตรประชาชนใช้เพื่อธุรกรรมดังกล่าวเท่านั้น
เรายอมรับว่าตัวเองไม่เคยเซ็นกำกับเลย จึงเกิดความกลัวและคล้อยตามว่าข้อมูลส่วนตัวของเราคงหลุดเพราะสำเนาบัตรประชาชนที่ไม่เซ็นกำกับและทำให้คนร้ายไปใช้เปิดซิมได้ มิจฉาชีพคนนี้แนะนำให้เรารีบไปแจ้งความเพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้รับจ้างเปิดซิมม้าและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้
หลังจากนั้นก็โอนสายให้กับมิจฉาชีพคนที่ 2 คนนี้แอบอ้างว่าตัวเองเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของค่ายสีเขียว ให้คำแนะนำในการแจ้งความเป็นอย่างดี เราก็ตั้งใจรับฟังเพราะไม่เคยแจ้งความมาก่อน และความรู้สึก ณ ตอนนั้นคืออยากรีบแจ้งความให้เรื่องมันจบเร็วๆ
มิจฉาชีพคนนี้บอกว่าเราต้องไปแจ้งความที่สภ.XXX ของจังหวัดที่เกิดเหตุภายใน 2 ชั่วโมง เพราะเป็นคดีร้ายแรง แต่เราทำงานอยู่YYY ไม่สะดวกไปXXXกะทันหันแบบนั้น มิจฉาชีพเลยโอนสายให้กับตำรวจที่สภ.XXX
มิจฉาชีพที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็นตำรวจแนะนำว่าถ้าไม่สะดวกไปแจ้งความที่สน.ก็สามารถแจ้งความออนไลน์ได้ โดยให้เราแอดไลน์ไป และแจ้งความประสงค์ว่าจะแจ้งความ มิจฉาชีพก็โทรไลน์มา และข่มขู่ว่านี่เป็นคดีว.5 เป็นคดีร้ายแรงห้ามแพร่งพรายให้คนอื่นรู้เด็ดขาด เราเลยย้ายจากโต๊ะทำงานไปใช้ห้องประชุมส่วนตัวเพื่อคุยกับมัน (หลังจากนี้ขอเปลี่ยนไปเรียกว่ามันเพื่อความสะดวกในการพิมพ์)
แล้วมันก็คุยวอกับมิจฉาชีพอีกคน แสร้งทำเป็นทวนสอบข้อมูลส่วนบุคคล ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ตามบัตรประชาชน มันพูดถูกต้องหมดเลย ซึ่งมันให้เราเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นตำรวจจริงๆ ถึงรู้ข้อมูลส่วนตัวของเราได้
ทว่ามันกลับส่งรูปหมายเรียกผู้ต้องหาที่เป็นชื่อเรา พร้อมกับหน้าสมุดบัญชีธนาคารสีน้ำเงินที่เป็นชื่อเรา มียอดเงินในบัญชีกว่า 800,000 มันอ้างว่าผู้ก่อเหตุคดีฟอกเงินให้การว่าเรารับจ้างเปิดบัญชีม้าให้เพราะเดือดร้อนต้องการเงิน 50,000 บาทโดยด่วน เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ มันข่มขู่ห้ามเราแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด ไม่งั้นเราและคนที่เราเอาไปเล่าต่อจะโดนโทษจำคุก 3-5 ปี เพราะคดีนี้เป็นคดีว.5
มันถามเราว่า ถ้าตอนนี้เราต้องใช้เงิน 50,000 เดี๋ยวนี้เลย เราจะหาจากไหน เราบอกว่าเรามีพ่อแม่ มีพี่ชาย มีเพื่อนที่พอหยิบยืมได้ มันก็ไล่ถามต่อว่าแต่ละคนพร้อมช่วยเหลือเราได้เท่าไหร่บ้าง เราก็ตอบไปตามความเป็นจริง
มันให้เราบอกว่าเรามีบัญชีกี่ธนาคาร มียอดเงินคงเหลือในบัญชีเท่าไหร่ เรามี 3 บัญชี 2 ธนาคาร แต่ตอนนั้นมีรวมกันไม่ถึง 5,000 เพราะเราเพิ่งเอาเงินเก็บไปดาวน์รถ และเพิ่งประสบเหตุที่ต้องเสียเงินมาหมาดๆ
มันก็ถามเราต่อว่า ถ้าให้หาเงินตอนนี้ 50,000 เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ ตามที่ผู้ก่อเหตุกล่าวหา จะไปหาเงินจากไหน เราก็ตอบไปตามตรงว่าคงขอเงินจากพ่อ มันให้เราโทรขอเงินจากพ่อทันที มันข่มขู่ไม่ให้เล่าเรื่องคดี จะมีตำรวจไซเบอร์คอยดักฟังตอนเราโทรศัพท์ เราก็ขอพ่อมาได้ 80,000
มันให้เราโอนเงินให้มันเพื่อพิสูจน์ว่าเงินที่เราได้มาเป็นเงินบริสุทธิ์ ไม่ใช่เงินที่ได้จากการฟอกเงิน เราก็โง่โอนให้มันไปยอดแรก 80,000 บาท
มันให้เราหาเงินเพิ่มอีกเพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เรากู้มาได้ 118,000 มันให้เราโอนให้มันอีก 110,000 บาท นี่เป็นยอดที่สอง
มันถามเราต่อว่าเราใช้บัตรเครดิตไหม เรามีบัตรเครดิตอีก 1 ใบยอดคงเหลือประมาณ 35,000 มันก็ให้เราถอนเงินออกจากบัตรเครดิตและโอนให้มันอีก 35,000 บาท
หลังจากนั้นมันเปลี่ยนตัวจากผู้ชายเป็นผู้หญิง ผู้หญิงหลอกให้เรากู้เงินในธนาคารเขียวกับธนาคารม่วง ได้วงเงินมารวมกันประมาณ 135,000 ซึ่งปกติธนาคารจะโอนเงินให้หลังจากอนุมัติภายใน 2-3 วันทำการ มันก็บีบคั้นให้เราโทรหาธนาคารให้อนุมัติทันทีให้ได้
เรายังไม่ได้ยืนยันตัวตนในแอพธนาคารม่วง ซึ่งต้องไปยืนยันตัวตนที่ธนาคาร ถึงจะสามารถทำธุรกรรมเปิดบัญชีออนไลน์เพื่อเบิกถอนจากวงเงินสินเชื่อได้ มันก็เร่งเร้าให้ออกไปที่ธนาคารทันที เราตัดสินใจออกไปเพราะตอนนั้นยังเชื่อ 50/50 อยู่ และโดนข่มขู่ว่าถ้าไม่รีบดำเนินการจะมีโทษจำคุก
เราไปถึงห้าง ยืนยันตัวตนที่ธนาคารเรียบร้อย ระหว่างนั้นมันก็โทรมาเร่งเร้าตลอดว่าเสร็จหรือยังๆ แถมยังเปลี่ยนชื่อและรูปไลน์จากสภ.XXX เป็นชื่อและรูปผู้หญิงคนหนึ่ง โดยอ้างว่าเราออกมาข้างนอกแล้วเลยต้องปิดบังตัวตนไม่ให้รู้ว่าเป็นตำรวจ
โชคดีที่แอพธนาคารม่วงขัดข้องทำให้เราผูกบัญชีกับวงเงินสินเชื่อไม่ได้ พอมันรู้ว่ามันไม่มีทางได้เงิน อีก 135,000 จากเราแล้ว มันเปลี่ยนกลับไปให้ผู้ชายคนเดิมที่มีวาทศิลป์ดี มาเกลี้ยกล่อมให้เราลองขอเงินจากพ่ออีกครั้ง ครั้งนี้เราบอกพ่อตามตรงว่าเราเจออะไรมา เราก็โดนพ่ออาละวาดใส่มายกใหญ่ และจะพาไปแจ้งความเลย
ระหว่างรอพ่อมารับที่ห้าง มิจฉาชีพก็ยังมีความพยายามจะขอเงินจากเราอีก เราอ้างสารพัดว่าพ่อแม่ไม่มีให้แล้ว พี่ชายก็เป็นคนช่างสงสัย กลัวตัวเองจะหลุดพูดเรื่องคดีไปตอนขอเงิน เพื่อนก็ไม่มีใครคบแล้ว มันเลยบอกให้เราโทรไปหามันอีกทีตอนเราถึงบ้าน
หลังจากพ่อมารับเราก็ไปแจ้งความที่สน.ที่ใกล้ที่สุด ร้อยเวรบอกว่าวันนี้เขารับแจ้งความคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์มารวมความเสียหาย 2-3 ล้านได้แล้ว แถมยังบอกอีกว่าด้วยอาชีพการงานของเราไม่น่าหลงเชื่ออะไรแบบนี้ เพราะคนที่หลงเชื่อคือคนที่ชอบหลบเลี่ยงภาษีเช่นคนขายของออนไลน์ เราคิดในใจว่าเราก็แค่โง่เท่านั้นเอง
เราโทรแจ้งธนาคารเขียว ธนาคารม่วง ว่าเราโดนหลอกให้โอนเงินไป เจ้าหน้าที่ทุกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่เราสัมผัสความในใจได้ว่า 'อีกแล้วเหรอ' คงเป็นเรื่องน่าเหนื่อยหน่ายสำหรับเจ้าหน้าที่มากเลยสินะคะ
เราไม่ตอบไลน์มิจฉาชีพมาตั้งแต่เย็นเมื่อวาน ตอนนี้ขณะที่เราพิมพ์ข้อความกระทู้อยู่นี่มิจฉาชีพยังส่งไลน์มาข่มขู่เราอยู่เลยว่าถ้าไม่ยินยอมให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่จะโดนอะไรบ้าง ที่เรายังไม่บล็อกไลน์มิจฉาชีพเพราะเผื่อไว้ใช้เป็นหลักฐานอะไรได้อีก
เราคิดว่าสิ่งที่ทำให้เราหลงเชื่อจนกลายเป็นคนโง่
1. ไม่เคยเซ็นกำกับบนสำเนาบัตรประชาชนว่าใช่เพื่อทำอะไร กลายเป็นจุดอ่อนให้มิจฉาชีพคนแรกกล่อมประสาทให้เราหลงเชื่อว่ามีคนนำข้อมูลส่วนตัวเราไปใช้เปิดซิมจริงๆ
2. ไม่รู้ว่าเปิดซิมต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เพราะเราใช้เบอร์เดิมที่เป็นชื่อพ่อมา 10 กว่าปีแล้ว
2. ไม่มีความรู้ด้านกฎหมายเลย ย้ำว่าไม่มีเลย เลยเชื่อคำที่เขาข่มขู่ทุกอย่าง
3. สภาพจิตใจไม่มั่นคง เราเพิ่งประสบเหตุรถชนโดยที่เราเป็นฝ่ายผิดมาหมาดๆ ไม่กี่วัน เรายังจมทุกข์กับความรู้สึกผิดอยู่เพราะโดนคู่กรณีและพรรคพวกของคู่กรณีต่อว่าและเรียกร้องค่าเสียหายมาหนักหน่วง พอโดนกล่าวหาว่าเราเป็นผู้กระทำผิดอีก เราเลยวู่วาม ไม่ทันคิดให้รอบคอบ เพราะแค่อยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง
4. เราก็แค่โง่ ไม่ทันคน
ตอบคำถามไว้ล่วงหน้าเผื่อมีคนถามเพราะคงไม่ย้อนมาตอบให้แล้ว
1. ทำไมถึงรับเบอร์แปลก
>>> เราใช้เบอร์ส่วนตัวในการทำงาน ต้องติดต่อกับลูกค้าตลอด จำเป็นต้องรับทุกสายที่โทรเข้ามาเพราะอาจจะเป็นสายของลูกค้าก็ได้
2. ทำไมถึงหลงเชื่อ
>>> ตามที่พิมพ์ไปด้านบนทุกประการ
3. รู้ตอนไหนว่าเป็นมิจฉาชีพ
>>> ถ้าให้ 100% เลย ก็เป็นตอนที่พ่ออาละวาดหูแตก
4. ไม่ติดตามข่าวสารแก๊งคอลเซ็นเตอร์บ้างเหรอ
>>> ได้ยินผ่านหูเห็นผ่านตามาบ้าง แต่ตอนนั้นมองเป็นเรื่องไกลตัว
บทลงโทษจากเหตุการณ์ครั้งนี้
1. ต้องจ่ายหนี้ 225,000 บาท และดอกเบี้ยอีกไม่รู้กี่บาท ทั้งที่ขอพ่อมาและกู้มา
2. เสียเครดิตจากการกู้สินเชื่อมาหลายแสน
3. โดนหักเงินจากการลากะทันหันครึ่งวันและเสียเบี้ยขยันรายเดือนและรายปีที่สะสมมา
4. เสียเวลาทำงานและไม่ได้ส่งงานตามกำหนดของลูกค้า พลาดดีลงานไปหลายๆ อย่าง
เราไม่หวังได้เงินคืนหรือหวังให้ตำรวจจับผู้ก่อเหตุได้เพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ ถือซะว่าเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของชีวิต เงินทองไม่ตายก็หาใหม่ได้เรื่อยๆ
หลังจากนี้ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้น อย่าไปคาดหวังว่าหน่วยงานหรือรัฐบาลจะปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลหรือให้ความช่วยเหลืออะไรเราได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ส่วนคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ จะเห็นใจ สงสาร สมเพช เวทนา สมน้ำหน้า ด่าเราว่าโง่ ไร้สมอง หรืออะไรก็แล้วแต่จิตศรัทธาเลยค่ะ เราคงไม่เข้ามาอ่านความเห็นแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบค่ะ หวังว่าเรื่องของเราจะมีประโยชน์กับใครสักคนบ้าง
เล่าอุทาหรณ์ โดนแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอก เสียทรัพย์กว่า 2 แสน
จะเล่าให้ฟังทุกรายละเอียดเท่าที่จำได้นะคะ ยาวมากๆ
วันที่ 9 ก.พ. 2567 มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา แอบอ้างว่าตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่ค่ายโทรศัพท์สีเขียว แจ้งชื่อนามสกุล แจ้งรหัสพนักงาน แจ้งหมายเลขอ้างอิงครบถ้วน (เราใช้เครือข่ายสีเขียวอยู่แล้ว)
มิจฉาชีพคนนี้บอกว่ามีคนนำชื่อของเราไปเปิดซิมของค่ายสีเขียวที่ห้างในจังหวัดXXX วันที่ 15 ม.ค. 2567 เวลาประมาณ 15.20 น. ซึ่งซิมดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันกับคดีฟอกเงินร้ายแรง มีผู้เสียหาย 40 กว่าคน มูลค่าความเสียหายมากกว่า 400 ล้าน
มิจฉาชีพคนนี้สอบถามว่าเราเคยทำข้อมูลส่วนตัวหลุดหายไหม หรือเคยใช้สำเนาบัตรประชาชนไปใช้ทำอะไรบ้างที่สุ่มเสี่ยงให้ข้อมูลรั่วไหล และได้เซ็นกำกับไหมว่าสำเนาบัตรประชาชนใช้เพื่อธุรกรรมดังกล่าวเท่านั้น
เรายอมรับว่าตัวเองไม่เคยเซ็นกำกับเลย จึงเกิดความกลัวและคล้อยตามว่าข้อมูลส่วนตัวของเราคงหลุดเพราะสำเนาบัตรประชาชนที่ไม่เซ็นกำกับและทำให้คนร้ายไปใช้เปิดซิมได้ มิจฉาชีพคนนี้แนะนำให้เรารีบไปแจ้งความเพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้รับจ้างเปิดซิมม้าและไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้
หลังจากนั้นก็โอนสายให้กับมิจฉาชีพคนที่ 2 คนนี้แอบอ้างว่าตัวเองเป็นหัวหน้าฝ่ายกฎหมายของค่ายสีเขียว ให้คำแนะนำในการแจ้งความเป็นอย่างดี เราก็ตั้งใจรับฟังเพราะไม่เคยแจ้งความมาก่อน และความรู้สึก ณ ตอนนั้นคืออยากรีบแจ้งความให้เรื่องมันจบเร็วๆ
มิจฉาชีพคนนี้บอกว่าเราต้องไปแจ้งความที่สภ.XXX ของจังหวัดที่เกิดเหตุภายใน 2 ชั่วโมง เพราะเป็นคดีร้ายแรง แต่เราทำงานอยู่YYY ไม่สะดวกไปXXXกะทันหันแบบนั้น มิจฉาชีพเลยโอนสายให้กับตำรวจที่สภ.XXX
มิจฉาชีพที่แอบอ้างว่าตัวเองเป็นตำรวจแนะนำว่าถ้าไม่สะดวกไปแจ้งความที่สน.ก็สามารถแจ้งความออนไลน์ได้ โดยให้เราแอดไลน์ไป และแจ้งความประสงค์ว่าจะแจ้งความ มิจฉาชีพก็โทรไลน์มา และข่มขู่ว่านี่เป็นคดีว.5 เป็นคดีร้ายแรงห้ามแพร่งพรายให้คนอื่นรู้เด็ดขาด เราเลยย้ายจากโต๊ะทำงานไปใช้ห้องประชุมส่วนตัวเพื่อคุยกับมัน (หลังจากนี้ขอเปลี่ยนไปเรียกว่ามันเพื่อความสะดวกในการพิมพ์)
แล้วมันก็คุยวอกับมิจฉาชีพอีกคน แสร้งทำเป็นทวนสอบข้อมูลส่วนบุคคล ชื่อ นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ตามบัตรประชาชน มันพูดถูกต้องหมดเลย ซึ่งมันให้เราเชื่อว่าอีกฝ่ายเป็นตำรวจจริงๆ ถึงรู้ข้อมูลส่วนตัวของเราได้
ทว่ามันกลับส่งรูปหมายเรียกผู้ต้องหาที่เป็นชื่อเรา พร้อมกับหน้าสมุดบัญชีธนาคารสีน้ำเงินที่เป็นชื่อเรา มียอดเงินในบัญชีกว่า 800,000 มันอ้างว่าผู้ก่อเหตุคดีฟอกเงินให้การว่าเรารับจ้างเปิดบัญชีม้าให้เพราะเดือดร้อนต้องการเงิน 50,000 บาทโดยด่วน เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ มันข่มขู่ห้ามเราแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาด ไม่งั้นเราและคนที่เราเอาไปเล่าต่อจะโดนโทษจำคุก 3-5 ปี เพราะคดีนี้เป็นคดีว.5
มันถามเราว่า ถ้าตอนนี้เราต้องใช้เงิน 50,000 เดี๋ยวนี้เลย เราจะหาจากไหน เราบอกว่าเรามีพ่อแม่ มีพี่ชาย มีเพื่อนที่พอหยิบยืมได้ มันก็ไล่ถามต่อว่าแต่ละคนพร้อมช่วยเหลือเราได้เท่าไหร่บ้าง เราก็ตอบไปตามความเป็นจริง
มันให้เราบอกว่าเรามีบัญชีกี่ธนาคาร มียอดเงินคงเหลือในบัญชีเท่าไหร่ เรามี 3 บัญชี 2 ธนาคาร แต่ตอนนั้นมีรวมกันไม่ถึง 5,000 เพราะเราเพิ่งเอาเงินเก็บไปดาวน์รถ และเพิ่งประสบเหตุที่ต้องเสียเงินมาหมาดๆ
มันก็ถามเราต่อว่า ถ้าให้หาเงินตอนนี้ 50,000 เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินจริงๆ ตามที่ผู้ก่อเหตุกล่าวหา จะไปหาเงินจากไหน เราก็ตอบไปตามตรงว่าคงขอเงินจากพ่อ มันให้เราโทรขอเงินจากพ่อทันที มันข่มขู่ไม่ให้เล่าเรื่องคดี จะมีตำรวจไซเบอร์คอยดักฟังตอนเราโทรศัพท์ เราก็ขอพ่อมาได้ 80,000
มันให้เราโอนเงินให้มันเพื่อพิสูจน์ว่าเงินที่เราได้มาเป็นเงินบริสุทธิ์ ไม่ใช่เงินที่ได้จากการฟอกเงิน เราก็โง่โอนให้มันไปยอดแรก 80,000 บาท
มันให้เราหาเงินเพิ่มอีกเพื่อพิสูจน์ว่าเราไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงิน เรากู้มาได้ 118,000 มันให้เราโอนให้มันอีก 110,000 บาท นี่เป็นยอดที่สอง
มันถามเราต่อว่าเราใช้บัตรเครดิตไหม เรามีบัตรเครดิตอีก 1 ใบยอดคงเหลือประมาณ 35,000 มันก็ให้เราถอนเงินออกจากบัตรเครดิตและโอนให้มันอีก 35,000 บาท
หลังจากนั้นมันเปลี่ยนตัวจากผู้ชายเป็นผู้หญิง ผู้หญิงหลอกให้เรากู้เงินในธนาคารเขียวกับธนาคารม่วง ได้วงเงินมารวมกันประมาณ 135,000 ซึ่งปกติธนาคารจะโอนเงินให้หลังจากอนุมัติภายใน 2-3 วันทำการ มันก็บีบคั้นให้เราโทรหาธนาคารให้อนุมัติทันทีให้ได้
เรายังไม่ได้ยืนยันตัวตนในแอพธนาคารม่วง ซึ่งต้องไปยืนยันตัวตนที่ธนาคาร ถึงจะสามารถทำธุรกรรมเปิดบัญชีออนไลน์เพื่อเบิกถอนจากวงเงินสินเชื่อได้ มันก็เร่งเร้าให้ออกไปที่ธนาคารทันที เราตัดสินใจออกไปเพราะตอนนั้นยังเชื่อ 50/50 อยู่ และโดนข่มขู่ว่าถ้าไม่รีบดำเนินการจะมีโทษจำคุก
เราไปถึงห้าง ยืนยันตัวตนที่ธนาคารเรียบร้อย ระหว่างนั้นมันก็โทรมาเร่งเร้าตลอดว่าเสร็จหรือยังๆ แถมยังเปลี่ยนชื่อและรูปไลน์จากสภ.XXX เป็นชื่อและรูปผู้หญิงคนหนึ่ง โดยอ้างว่าเราออกมาข้างนอกแล้วเลยต้องปิดบังตัวตนไม่ให้รู้ว่าเป็นตำรวจ
โชคดีที่แอพธนาคารม่วงขัดข้องทำให้เราผูกบัญชีกับวงเงินสินเชื่อไม่ได้ พอมันรู้ว่ามันไม่มีทางได้เงิน อีก 135,000 จากเราแล้ว มันเปลี่ยนกลับไปให้ผู้ชายคนเดิมที่มีวาทศิลป์ดี มาเกลี้ยกล่อมให้เราลองขอเงินจากพ่ออีกครั้ง ครั้งนี้เราบอกพ่อตามตรงว่าเราเจออะไรมา เราก็โดนพ่ออาละวาดใส่มายกใหญ่ และจะพาไปแจ้งความเลย
ระหว่างรอพ่อมารับที่ห้าง มิจฉาชีพก็ยังมีความพยายามจะขอเงินจากเราอีก เราอ้างสารพัดว่าพ่อแม่ไม่มีให้แล้ว พี่ชายก็เป็นคนช่างสงสัย กลัวตัวเองจะหลุดพูดเรื่องคดีไปตอนขอเงิน เพื่อนก็ไม่มีใครคบแล้ว มันเลยบอกให้เราโทรไปหามันอีกทีตอนเราถึงบ้าน
หลังจากพ่อมารับเราก็ไปแจ้งความที่สน.ที่ใกล้ที่สุด ร้อยเวรบอกว่าวันนี้เขารับแจ้งความคดีแก๊งคอลเซ็นเตอร์มารวมความเสียหาย 2-3 ล้านได้แล้ว แถมยังบอกอีกว่าด้วยอาชีพการงานของเราไม่น่าหลงเชื่ออะไรแบบนี้ เพราะคนที่หลงเชื่อคือคนที่ชอบหลบเลี่ยงภาษีเช่นคนขายของออนไลน์ เราคิดในใจว่าเราก็แค่โง่เท่านั้นเอง
เราโทรแจ้งธนาคารเขียว ธนาคารม่วง ว่าเราโดนหลอกให้โอนเงินไป เจ้าหน้าที่ทุกคนพูดด้วยน้ำเสียงที่เราสัมผัสความในใจได้ว่า 'อีกแล้วเหรอ' คงเป็นเรื่องน่าเหนื่อยหน่ายสำหรับเจ้าหน้าที่มากเลยสินะคะ
เราไม่ตอบไลน์มิจฉาชีพมาตั้งแต่เย็นเมื่อวาน ตอนนี้ขณะที่เราพิมพ์ข้อความกระทู้อยู่นี่มิจฉาชีพยังส่งไลน์มาข่มขู่เราอยู่เลยว่าถ้าไม่ยินยอมให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่จะโดนอะไรบ้าง ที่เรายังไม่บล็อกไลน์มิจฉาชีพเพราะเผื่อไว้ใช้เป็นหลักฐานอะไรได้อีก
เราคิดว่าสิ่งที่ทำให้เราหลงเชื่อจนกลายเป็นคนโง่
1. ไม่เคยเซ็นกำกับบนสำเนาบัตรประชาชนว่าใช่เพื่อทำอะไร กลายเป็นจุดอ่อนให้มิจฉาชีพคนแรกกล่อมประสาทให้เราหลงเชื่อว่ามีคนนำข้อมูลส่วนตัวเราไปใช้เปิดซิมจริงๆ
2. ไม่รู้ว่าเปิดซิมต้องใช้เอกสารอะไรบ้าง เพราะเราใช้เบอร์เดิมที่เป็นชื่อพ่อมา 10 กว่าปีแล้ว
2. ไม่มีความรู้ด้านกฎหมายเลย ย้ำว่าไม่มีเลย เลยเชื่อคำที่เขาข่มขู่ทุกอย่าง
3. สภาพจิตใจไม่มั่นคง เราเพิ่งประสบเหตุรถชนโดยที่เราเป็นฝ่ายผิดมาหมาดๆ ไม่กี่วัน เรายังจมทุกข์กับความรู้สึกผิดอยู่เพราะโดนคู่กรณีและพรรคพวกของคู่กรณีต่อว่าและเรียกร้องค่าเสียหายมาหนักหน่วง พอโดนกล่าวหาว่าเราเป็นผู้กระทำผิดอีก เราเลยวู่วาม ไม่ทันคิดให้รอบคอบ เพราะแค่อยากพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง
4. เราก็แค่โง่ ไม่ทันคน
ตอบคำถามไว้ล่วงหน้าเผื่อมีคนถามเพราะคงไม่ย้อนมาตอบให้แล้ว
1. ทำไมถึงรับเบอร์แปลก
>>> เราใช้เบอร์ส่วนตัวในการทำงาน ต้องติดต่อกับลูกค้าตลอด จำเป็นต้องรับทุกสายที่โทรเข้ามาเพราะอาจจะเป็นสายของลูกค้าก็ได้
2. ทำไมถึงหลงเชื่อ
>>> ตามที่พิมพ์ไปด้านบนทุกประการ
3. รู้ตอนไหนว่าเป็นมิจฉาชีพ
>>> ถ้าให้ 100% เลย ก็เป็นตอนที่พ่ออาละวาดหูแตก
4. ไม่ติดตามข่าวสารแก๊งคอลเซ็นเตอร์บ้างเหรอ
>>> ได้ยินผ่านหูเห็นผ่านตามาบ้าง แต่ตอนนั้นมองเป็นเรื่องไกลตัว
บทลงโทษจากเหตุการณ์ครั้งนี้
1. ต้องจ่ายหนี้ 225,000 บาท และดอกเบี้ยอีกไม่รู้กี่บาท ทั้งที่ขอพ่อมาและกู้มา
2. เสียเครดิตจากการกู้สินเชื่อมาหลายแสน
3. โดนหักเงินจากการลากะทันหันครึ่งวันและเสียเบี้ยขยันรายเดือนและรายปีที่สะสมมา
4. เสียเวลาทำงานและไม่ได้ส่งงานตามกำหนดของลูกค้า พลาดดีลงานไปหลายๆ อย่าง
เราไม่หวังได้เงินคืนหรือหวังให้ตำรวจจับผู้ก่อเหตุได้เพราะไม่น่าจะเป็นไปได้ ถือซะว่าเป็นบทเรียนครั้งใหญ่ของชีวิต เงินทองไม่ตายก็หาใหม่ได้เรื่อยๆ
หลังจากนี้ต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้น อย่าไปคาดหวังว่าหน่วยงานหรือรัฐบาลจะปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลหรือให้ความช่วยเหลืออะไรเราได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
ส่วนคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ จะเห็นใจ สงสาร สมเพช เวทนา สมน้ำหน้า ด่าเราว่าโง่ ไร้สมอง หรืออะไรก็แล้วแต่จิตศรัทธาเลยค่ะ เราคงไม่เข้ามาอ่านความเห็นแล้ว
ขอบคุณทุกคนที่อ่านจนจบค่ะ หวังว่าเรื่องของเราจะมีประโยชน์กับใครสักคนบ้าง